“7สมุนไพร” ประจำวัน ให้ช่วยลดน้ำตาล-ต้านเบาหวาน ทั้งถูกทั้งหาง่าย

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มูลนิธิสุขภาพไทย




ผักสวนครัวอีกชนิดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นยาช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เป็นผักคู่อาหารยอดฮิตของคนไทย “กะเพราไก่ไข่ดาว” นั่นเอง กะเพรา มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายชนิด ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านความเครียด แก้หืด ต้านอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด และมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วย ในใบกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยและพฤกษเคมีหลายชนิด นักวิจัยพบว่าช่วยทำให้ตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลลินได้ดีขึ้น
การศึกษาวิจัยให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน กินใบกะเพราะบดผงวันละ 2.5 กรัม นาน 4 สัปดาห์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ วิธีทำใช้เอง อาจนำใบกะเพราตากแห้ง แล้วบดผง นำมา 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย กินวันละ 3 ครั้ง หรือจะบรรจุแคปซูล กินวันละ 2.5 กรัม ก็ได้ นักวิจัยแนะนำว่า กะเพราเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานไม่รุนแรง แบบเป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง

เตยหอม เป็นสมุนไพรใกล้ตัวอันดับที่ห้าที่อยากชวนให้ลิ้มลอง เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันทั่วประเทศ ปรุงเป็นเครื่องดื่มรสอร่อยหอมชื่นใจ ทำเป็นอาหารคาวหวานได้อีกหลายชนิด เช่น ไก่ห่อใบเตย วุ้นใบเตย คนทั่วไปมักรู้จักสรรพคุณทางยาของต้นเตยหอม เป็นชาชงช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ใช้แก้ไข้ แก้อ่อนเพลีย แต่มีคนไม่มากรู้จักนำเอารากเตยหอม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน และลดเบาหวาน
และดูเหมือนว่าเตยหอมเป็นสมุนไพรที่คนไทยรุ่นเก่ารู้จักใช้เพื่อแก้เบาหวานกันมาก ใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยวๆ และอยู่ในตำรับก็มี
ขณะนี้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าเตยหอมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และขับปัสสาวะ แม้ว่ายังไม่ได้วิจัยถึงขั้นทดลองในคน แต่เตยหอมเป็นตำรับยาที่มีความปลอดภัย และคนทั่วไปหามาใช้ประโยชน์ได้ง่าย ราคาถูก ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็นก็สามารถทำเครื่องดื่มรสอร่อยดื่มกินได้
ถ้าว่ากันตามตำรา ใช้รากเตยหอม 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่น้ำประมาณ 1 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 15-20 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 เวลา เวลาต้มจะปรุงแต่งใส่ใบเตยหอมให้มีสีสันและเพิ่มกลิ่นหอมให้ชวนดื่มก็ได้

สมุนไพรใกล้ตัวคนไทยอีกชนิดหนึ่งคือ ว่านหางจระเข้ แม้ไม่ใช่พืชท้องถิ่นดินแดนสยาม แต่คนไทยรู้จักกันทั่วไป พบเห็นการปลูกไว้ในกระถางหน้าบ้านทั่วทุกภาค ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคกรีก ราวๆ กว่า 3,500 ปีมาแล้ว สมัยนั้นมีบันทึกการใช้ไว้อย่างละเอียด สมัยนี้ก็ยังนิยมใช้ในสรรพคุณไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่ใช้รักษาบาดแผลสด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ผื่นคัน ผิวหนังผุผอง ถูกแดดแผดเผา ใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม แก้โรคริดสีดวง เป็นต้น
ว่านหางจระเข้จึงเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมาก และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ในการศึกษาทางยาพบสิ่งที่น่าสนใจว่า ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองและในคนด้วย ยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
วิธีการใช้ว่านหางจระเข้อย่างง่ายๆ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย 1 ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ 15 กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกินเนื้อวุ้นสดๆ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า เนื้อวุ้นที่เก็บไว้จะมีสรรพคุณลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเคล็ดลับในการเตรียมยา คือ
ถ้าตัดกาบใบมาทั้งกาบ ให้ตัดเป็นท่อนในขนาดที่จะกินในวันนั้น ที่เหลือไม่ควรปอกเปลือก และให้เก็บไว้ในตู้เย็น ควรกินให้หมดภายใน 3-5 วัน ถ้าต้องการกินต่อจึงไปตัดจากต้นสด

สมุนไพรใกล้ตัวอันดับเจ็ด เป็นสมุนไพรอินเทรนด์ตามกระแสการดื่มกาแฟสด ซึ่งสูตรกาแฟชนิดหนึ่งจะมีการปรุงด้วยอบเชยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม คนรุ่นใหม่จึงรู้จักอบเชยมากขึ้น ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้ มูลนิธิสุขภาพไทยเคยเขียนเรื่องราวอบเชยแก้เบาหวานไว้อย่างละเอียดแล้ว ผู้อ่านสามารถสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของมูลนิธิได้ (www.thaihof.org)
ในที่นี้ขอย้ำเตือนว่าอบเชยเป็นสมุนไพรของชาวเอเซียที่คนทางยุโรปและอเมริกาให้ความสนใจมาก การเผยแพร่สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดนี้ก็มาจากการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการในวารสาร New Scientist และยังมีผลรายงานการศึกษาในที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง พอสรุปได้ว่า
ในอบเชยมีสารที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น และสารในอบเชยยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน คือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
วิธีกินอย่างง่ายๆ ให้กินผงอบเชยจีนครั้งละครึ่งช้อนชา วันละ 2 เวลา เช้าและเย็น โดยอาจผสมผงอบเชยจีนในเครื่องดื่มนม โกโก้ โยเกิร์ต ก็ได้ หรือบรรจุผงอบเชยจีนในแคปซูล ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน จึงจะเห็นผล
สมุนไพรที่นำเสนอไปทั้ง 7 ชนิด ช้าพลู มะระขี้นก ตำลึง กะเพรา เตยหอม ว่านหางจระเข้ และอบเชยจีน เป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปรู้จัก แม้แต่เด็กแนวเด็กอินดี้หรือเด็กเรียนก็ยังรู้จักไม่ต้นใดก็ต้นหนึ่ง สมุนไพรเหล่านี้เป็นของใกล้ตัว และมีการศึกษาวิจัยพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ จึงเป็นทางเลือกใกล้ตัวให้นำมาใช้ให้เหมาะกับรสนิยมและความชอบส่วนตัว เพื่อเป็นเพื่อนเบาหวานได้ทุกวัน
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : https://www.matichonweekly.com/lifestyle/article_22143